การเรียนรู้ภาษาอังกฤษไม่ใช่แค่การฝึกอ่านหรือการฟังเท่านั้น แต่เป็นการเข้าใจและใช้ภาษาให้เป็นประโยชน์ในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นการพูดกับคนต่างชาติ หรือใช้ในงานที่ต้องใช้ภาษาอังกฤษ แพลตฟอร์มออนไลน์ในยุคปัจจุบันมีเครื่องมือที่หลากหลายและสามารถเลือกใช้ได้ตามความต้องการของแต่ละคน วันนี้เรามี 5 แพลตฟอร์มยอดนิยมที่ช่วยให้การเรียนภาษาอังกฤษของคุณเป็นเรื่องง่ายและสนุกขึ้น รับรองว่าเรียนได้ทั้งการฟัง การพูด การอ่าน และการเขียนพร้อมๆ กัน
Duolingo
ถ้าพูดถึงแอปที่ทำให้การเรียนภาษาอังกฤษเป็นเรื่องสนุก Duolingo คงต้องติดอันดับแรกๆ แน่นอนครับ ด้วยการออกแบบให้เรียนรู้ผ่านเกมและความท้าทายที่เราต้องทำให้สำเร็จเพื่อไปต่อ ไม่ว่าจะเป็นการเติมคำในประโยค หรือการฝึกทักษะใหม่ๆ ที่มาพร้อมกับการให้คะแนนและรางวัล ทำให้ไม่รู้สึกเบื่อและสามารถเรียนได้ทุกที่ทุกเวลา
ข้อดี:
-
ฟรีและใช้งานง่าย
-
ปรับระดับให้เหมาะสมกับผู้เรียน
-
ระบบเกมช่วยให้การเรียนไม่น่าเบื่อ
ข้อเสีย:
-
เนื้อหาเกี่ยวกับไวยากรณ์ไม่ลึกมาก
-
อาจไม่เหมาะกับผู้ที่ต้องการเรียนแบบเป็นระบบลึกซึ้ง
ลิงก์ที่เกี่ยวข้อง: Duolingo
Babbel
หากคุณอยากเรียนภาษาอังกฤษแบบมีระบบ Babbel เป็นตัวเลือกที่ดี เพราะมันเน้นการเรียนที่ค่อนข้างละเอียดและมีแผนการเรียนที่สามารถปรับให้เหมาะสมกับความสามารถของผู้เรียน โดยเฉพาะการใช้ภาษาในสถานการณ์จริง เช่น การไปท่องเที่ยวหรือลูกค้าต่างประเทศ ซึ่งเหมาะมากกับผู้ที่อยากฝึกภาษาให้พร้อมใช้งานในชีวิตจริง
ข้อดี:
-
เน้นการเรียนที่ใช้ในชีวิตจริง
-
ระบบการเรียนรู้มีประสิทธิภาพ
-
รองรับหลายภาษาและปรับระดับความยากง่ายได้
ข้อเสีย:
-
บางฟังก์ชันต้องจ่ายเงินเพื่อใช้
-
เหมาะกับผู้ที่อยากเรียนแบบเข้มข้น
ลิงก์ที่เกี่ยวข้อง: Babbel
Memrise
ใครที่ต้องการพัฒนาทักษะคำศัพท์ในภาษาอังกฤษให้ได้ผลจริงต้องลอง Memrise ที่ช่วยฝึกคำศัพท์ผ่านระบบ “Spaced Repetition” ซึ่งทำให้คุณทบทวนคำศัพท์ที่จำไม่ได้จนกว่าคุณจะสามารถจำได้จริงๆ แถมยังมีบทเรียนจากเจ้าของภาษา ที่ทำให้การเรียนรู้ไม่เป็นแค่เรื่องการจำคำ แต่ทำให้คุณได้เข้าใจการใช้งานคำในชีวิตจริง
ข้อดี:
-
ระบบ Spaced Repetition ช่วยให้การจำคำศัพท์มีประสิทธิภาพ
-
วิดีโอการสอนจากเจ้าของภาษาจริงๆ
-
เรียนรู้คำศัพท์และวลีที่ใช้ในชีวิตจริง
ข้อเสีย:
-
มีค่าใช้จ่ายสำหรับการเข้าถึงฟังก์ชันพิเศษ
-
เหมาะกับการเรียนคำศัพท์มากกว่าไวยากรณ์
ลิงก์ที่เกี่ยวข้อง: Memrise
Busuu
Busuu เป็นแพลตฟอร์มที่เหมาะกับผู้ที่อยากเรียนรู้ภาษาผ่านการแลกเปลี่ยนกับผู้ที่เป็นเจ้าของภาษา จริงๆ แล้ว Busuu ถือว่าเป็นแอปที่เข้มข้นในแง่การเรียนรู้ภาษาที่สามารถปรับให้เหมาะกับผู้เรียนได้ทั้งการพูด การฟัง และการเขียน โดยการใช้ฟีเจอร์ที่ให้ผู้เรียนสามารถฝึกการพูดกับเจ้าของภาษาจริงๆ ผ่านการสนทนา
ข้อดี:
-
ฟีเจอร์ให้ฝึกทักษะกับเจ้าของภาษา
-
มีการปรับแผนการเรียนให้เหมาะสมกับผู้เรียน
-
ระบบ Feedback ดีมาก
ข้อเสีย:
-
บางฟังก์ชันต้องเสียเงินเพื่อใช้
-
ระบบบางส่วนยังไม่ค่อยเหมาะสำหรับผู้เริ่มต้นที่ไม่มีพื้นฐาน
ลิงก์ที่เกี่ยวข้อง: Busuu
Engoo
อีกหนึ่งแพลตฟอร์มที่สามารถเรียนภาษาอังกฤษได้จากการสนทนาคือ Engoo ที่มีฟีเจอร์เรียนแบบตัวต่อตัว กับครูเจ้าของภาษา ทำให้คุณสามารถฝึกการพูดได้โดยตรง ซึ่งระบบการเรียนแบบนี้ช่วยให้ผู้เรียนได้ความมั่นใจและพัฒนาทักษะการพูดอย่างรวดเร็ว ผ่านการสนทนากับครูที่คอยให้คำแนะนำและแก้ไขการออกเสียง
ข้อดี:
-
การเรียนแบบตัวต่อตัวทำให้สามารถฝึกพูดได้จริง
-
มีครูเจ้าของภาษาที่คอยแนะนำ
-
หลักสูตรหลากหลายให้เลือก
ข้อเสีย:
-
บางครั้งต้องจ่ายเงินเพื่อใช้ฟังก์ชันหลัก
-
เวลาเรียนค่อนข้างจำกัดในบางช่วง
ลิงก์ที่เกี่ยวข้อง: Engoo
สรุป
การเรียนภาษาอังกฤษในปัจจุบันไม่จำเป็นต้องใช้เวลานานหรือไปเรียนที่สถาบันราคาแพง เพราะเราเลือกใช้แพลตฟอร์มเรียนรู้ที่สะดวกและมีประสิทธิภาพได้จากที่บ้านผ่านมือถือหรือคอมพิวเตอร์ ไม่ว่าจะเป็น Duolingo ที่เน้นความสนุกในการเรียน, Babbel ที่ให้ความรู้และเน้นการใช้ภาษาในชีวิตประจำวัน, หรือ Memrise, Busuu, และ Engoo ที่ช่วยฝึกทักษะภาษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลองเลือกใช้งานแพลตฟอร์มที่ตรงกับความต้องการของคุณเพื่อพัฒนาภาษาอังกฤษได้อย่างเต็มที่