เคยรู้สึกไหมว่า… เงินจำนวนเท่าเดิมที่คุณเคยใช้ซื้อก๋วยเตี๋ยวชามใหญ่ได้สบายๆ วันนี้กลับซื้อได้แค่ชามเล็ก? หรือค่าขนมที่ลูกเคยขอ 20 บาท เดี๋ยวนี้ต้องเพิ่มเป็น 30 บาท? ปรากฏการณ์ที่ข้าวของรอบตัวดูเหมือนจะแพงขึ้นเรื่อยๆ นี้ มีคำอธิบายทางเศรษฐศาสตร์ว่า “ภาวะเงินเฟ้อ” (Inflation) นั่นเอง
หัวข้อเนื้อหาทั้งหมด
แล้วเงินเฟ้อคืออะไรกันแน่? ทำไมมันถึงเกิดขึ้น? และที่สำคัญ มันส่งผลกระทบต่อเงินในกระเป๋าของเราแต่ละคนอย่างไรบ้าง? บทความนี้จะพาคุณไปทำความเข้าใจเรื่องเงินเฟ้อแบบง่ายๆ พร้อมแนวทางรับมือ เพื่อให้คุณสามารถวางแผนการเงินได้อย่างเท่าทันสถานการณ์
เงินเฟ้อ (Inflation) คืออะไร? แบบเข้าใจง่ายที่สุด
พูดง่ายๆ เงินเฟ้อ คือ ภาวะที่ระดับราคาสินค้าและบริการโดยทั่วไปในระบบเศรษฐกิจสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เมื่อราคาสินค้าแพงขึ้น เงินจำนวนเท่าเดิมที่เรามีก็จะซื้อของได้น้อยลง หรืออีกนัยหนึ่งคือ “อำนาจซื้อ (Purchasing Power)” ของเงินลดลง นั่นเอง
ลองนึกภาพง่ายๆ:
ปีที่แล้ว เงิน 100 บาท อาจซื้อไข่ไก่ได้ 30 ฟอง
ปีนี้ เกิดภาวะเงินเฟ้อ ทำให้ราคาไข่ไก่สูงขึ้น เงิน 100 บาทเท่าเดิม อาจซื้อไข่ไก่ได้เพียง 25 ฟอง
นี่คือผลกระทบที่ชัดเจนที่สุดของเงินเฟ้อที่เราสัมผัสได้ในชีวิตประจำวัน
สาเหตุหลักที่ทำให้เกิดเงินเฟ้อมีอะไรบ้าง?
เงินเฟ้อไม่ได้เกิดขึ้นโดยไม่มีสาเหตุ แต่เกิดจากปัจจัยหลายอย่างในระบบเศรษฐกิจ ที่สำคัญมีดังนี้:
ความต้องการซื้อสินค้าและบริการเพิ่มสูงขึ้น (Demand-Pull Inflation): เมื่อคนในระบบเศรษฐกิจมีความต้องการซื้อสินค้าและบริการมากกว่าปริมาณสินค้าและบริการที่มีอยู่ ณ ขณะนั้น ผู้ขายจึงสามารถปรับราคาสินค้าให้สูงขึ้นได้ตามกลไกตลาด เหมือนเวลาที่สินค้าบางอย่างฮิตมากๆ จนขาดตลาด ราคาก็จะพุ่งสูงขึ้น
ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น (Cost-Push Inflation): เมื่อต้นทุนที่ผู้ผลิตต้องแบกรับสูงขึ้น เช่น ราคาวัตถุดิบ (น้ำมัน, เหล็ก), ค่าจ้างแรงงาน, ค่าขนส่ง แพงขึ้น ผู้ผลิตจำเป็นต้องผลักภาระต้นทุนเหล่านี้ไปยังผู้บริโภคโดยการปรับขึ้นราคาสินค้าและบริการตามไปด้วย
การคาดการณ์เงินเฟ้อ (Built-in Inflation หรือ Wage-Price Spiral): เมื่อคนคาดการณ์ว่าข้าวของจะแพงขึ้นในอนาคต (จากประสบการณ์เงินเฟ้อในอดีต) ลูกจ้างก็จะเรียกร้องค่าจ้างที่สูงขึ้นเพื่อชดเชยค่าครองชีพที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น เมื่อผู้ประกอบการมีต้นทุนค่าจ้างเพิ่ม ก็อาจต้องขึ้นราคาสินค้าอีก วนเวียนเป็นวัฏจักรต่อไป
เงินเฟ้อส่งผลกระทบต่อ “เงินในกระเป๋า” ของเราอย่างไรบ้าง?
ผลกระทบของเงินเฟ้อไม่ได้จำกัดอยู่แค่ราคาสินค้า แต่ยังส่งผลต่อการเงินส่วนบุคคลในหลายมิติ:
ค่าครองชีพสูงขึ้น: นี่คือผลกระทบโดยตรงที่สุด เมื่อราคาสินค้าอุปโภคบริโภค ค่าเดินทาง ค่าพลังงาน ค่าอาหาร สูงขึ้น ทำให้เราต้องใช้เงินมากขึ้นเพื่อรักษาระดับการใช้ชีวิตแบบเดิม
มูลค่าเงินออมลดลง: หากคุณเก็บเงินสดไว้เฉยๆ หรือฝากไว้ในบัญชีออมทรัพย์ที่ให้ดอกเบี้ยต่ำกว่าอัตราเงินเฟ้อ มูลค่าที่แท้จริงของเงินออมของคุณจะลดลงตามกาลเวลา เพราะอำนาจซื้อมันน้อยลงนั่นเอง (เรียกว่า “ผลตอบแทนที่แท้จริงติดลบ”)
ผลกระทบต่อการลงทุน:
ด้านบวก: การลงทุนในสินทรัพย์บางประเภท เช่น หุ้น อสังหาริมทรัพย์ หรือสินค้าโภคภัณฑ์ อาจให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าอัตราเงินเฟ้อ ช่วยรักษามูลค่าของเงินลงทุนในระยะยาวได้
ด้านลบ: การลงทุนในสินทรัพย์ที่มีรายได้คงที่ เช่น พันธบัตร หรือเงินฝากประจำ อาจให้ผลตอบแทนที่แท้จริงลดลงหากอัตราดอกเบี้ยที่ได้รับต่ำกว่าเงินเฟ้อ นอกจากนี้ ความผันผวนของตลาดในช่วงเงินเฟ้อสูงอาจสร้างความเสี่ยงให้นักลงทุนได้
ผลกระทบต่อหนี้สิน:
หนี้สินเดิม (อัตราดอกเบี้ยคงที่): เงินเฟ้ออาจเป็นผลดีต่อลูกหนี้ เพราะมูลค่าที่แท้จริงของเงินที่ต้องชำระคืนในอนาคตจะลดลง
หนี้สินใหม่ หรือหนี้อัตราดอกเบี้ยลอยตัว: อาจต้องจ่ายดอกเบี้ยแพงขึ้น เพราะธนาคารกลางมักใช้นโยบายขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อ
แล้วเราจะรับมือกับภาวะเงินเฟ้อได้อย่างไร?
แม้เราจะควบคุมภาวะเงินเฟ้อไม่ได้ แต่เราสามารถปรับตัวและวางแผนการเงินเพื่อลดผลกระทบได้ ดังนี้:
จัดทำงบประมาณและติดตามค่าใช้จ่าย: การรู้ว่าเงินของเราไหลไปทางไหน จะช่วยให้เห็นภาพรวมและสามารถตัดทอนรายจ่ายที่ไม่จำเป็น หรือหาทางลดค่าใช้จ่ายในส่วนที่ทำได้
ลงทุนให้ชนะเงินเฟ้อ: อย่าเก็บเงินสดไว้เฉยๆ ลองศึกษาและพิจารณาการลงทุนในสินทรัพย์ที่คาดว่าจะให้ผลตอบแทนสูงกว่าอัตราเงินเฟ้อในระยะยาว เช่น กองทุนรวมหุ้น, หุ้น, อสังหาริมทรัพย์ หรือกองทุนรวมที่ลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือกอื่นๆ โดยเน้นการกระจายความเสี่ยงที่เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้
หาทางเพิ่มรายได้: มองหาช่องทางสร้างรายได้เสริม หรือพัฒนาทักษะเพื่อโอกาสในการปรับขึ้นเงินเดือน เพื่อให้รายได้เติบโตทันหรือเร็วกว่าอัตราเงินเฟ้อ
ซื้อของอย่างชาญฉลาด: เปรียบเทียบราคา มองหาโปรโมชั่น หรือวางแผนการซื้อสินค้าจำเป็นในปริมาณที่เหมาะสมเพื่อลดต้นทุนต่อหน่วย
ทบทวนภาระหนี้สิน: จัดการหนี้สินที่มีดอกเบี้ยสูงเป็นอันดับแรก และพิจารณาการรีไฟแนนซ์หนี้สินหากเงื่อนไขเอื้ออำนวยและช่วยลดภาระดอกเบี้ยลงได้
บทสรุป
ภาวะเงินเฟ้อเป็นเรื่องใกล้ตัวและส่งผลกระทบต่อการเงินของทุกคนไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง การทำความเข้าใจว่าเงินเฟ้อคืออะไร เกิดจากสาเหตุใด และส่งผลต่อค่าครองชีพ เงินออม การลงทุน และหนี้สินของเราอย่างไร ถือเป็นก้าวแรกที่สำคัญ การติดตามข่าวสารเศรษฐกิจและการวางแผนการเงินอย่างรอบคอบ ไม่ว่าจะเป็นการทำงบประมาณ การลงทุนอย่างเหมาะสม หรือการจัดการหนี้สิน จะช่วยให้เราสามารถรับมือและลดผลกระทบจากภาวะเงินเฟ้อได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น รักษาความมั่งคั่ง และก้าวไปสู่เป้าหมายทางการเงินที่วางไว้ได้แม้ในสภาวะเศรษฐกิจที่ผันผวน